ท้องเสีย!! ต้องใช้ยาเสมอไปหรือไม่

     จากการพยากรณ์โรคและภัยสุขภาพของกระทรวงสาธารณสุข  ยังคงมีการเฝ้าระวังโรคอุจจาระร่วง  เนื่องจากสภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงเชื้อโรคเจริญเติบโตได้ดีส่งผลทำให้ประชาชนเจ็บป่วยได้ง่าย  เมื่อเป็นอย่างนี้แล้วประชาชนบางส่วนอาจจะมีข้อสงสัยอีกว่า  เมื่อเป็นโรคอุจจาระร่วงแล้วควรจะหายามารับประทานหรือไม่  ในครั้งนี้ทีมงานได้มีโอกาสเข้าไปร่วมพูดคุยกับเภสัชกรกฤษฏิ์ วัฒนธรรม เภสัชกรประจำสถานปฏิบัติการเภสัชกรรมชุมชน คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เพื่อให้ความกระจ่างในการดูแลตนเองและใช้ยาอย่างสมเหตุสมผล  ถูกต้อง  และปลอดภัย

“อาการท้องเสีย ที่ไม่ได้มีสาเหตุจากเชื้อไวรัสหรือแบคทีเรีย 90 เปอร์เซ็นต์ หายเองได้
แต่อาการท้องเสียชนิดที่มีถ่ายเหลวพร้อมกับมีมูกเลือด ร่วมกับการมีไข้สูง
มีความจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ และได้รับการดูแลรักษาที่ต้องมีความต่อเนื่อง
โดยการไปพบแพทย์หรือเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อความปลอดภัย”
: เภสัชกรกฤษฏิ์ วัฒนธรรม เภสัชกรประจำสถานปฏิบัติการเภสัชกรรมชุมชน คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร : 

อาการอุจจาระร่วง ท้องเดิน ท้องเสีย เป็นอาการที่อยู่ในกลุ่มโรคเดียวกันหรือไม่

     “อุจจาระร่วง ท้องเดิน ท้องเสีย เป็นคำเดียวกัน  โดยจะมีความหมายเหมือนกันก็คือว่า  มีอาการของการถ่ายอุจจาระเหลว  ไม่เป็นก้อน มากกว่า 3 ครั้ง  ใน 24  ชั่วโมง  โดยอาจจะมีอาการอื่นๆ  ร่วมด้วยหรือไม่ก็ได้  เช่น  คลื่นไส้  อาเจียน  ปวดท้อง เป็นต้น”

เมื่อมีอาการอุจจาระร่วง ควรใช้ยาหรือไม่

“การที่จะใช้ยาหรือไม่นั้น  จะต้องดูด้วยว่าอาการที่เกิดขึ้นเกิดจากอะไร  เพราะว่า  อาการท้องเสียจะแบ่งเป็น 3 อาการหลักๆ   เช่น  ท้องเสียร่วมกับอาการอาเจียนเด่น  แบบนี้จะเป็นเรื่องของอาหารเป็นพิษซึ่งจะหายได้เองภายใน 2 วันและอาการจะเกิดขึ้นได้อย่างรวดเร็วเมื่อได้สัมผัสกับอาหารที่ปนเปื้อนกับพิษนั้นๆ

     อีกส่วนหนึ่งถ่ายเหลวเป็นน้ำ  เป็นหลัก  อาเจียนน้อยหน่อย  อาจจะมีอาการไข้ต่ำๆ หรือไม่มีไข้ก็ได้  อาการเหล่านี้มักจะเกิดจากเชื้อไวรัส  และเชื้อแบคทีเรียบางกลุ่ม

     อีกส่วนหนึ่งถ่ายเหลว  และมีมูกเลือดปนออกมาด้วย  จะเกิดจากที่แบคทีเรียบางตัว เข้าทำลายเซลล์ลำไส้ และมีอาการไข้ร่วมด้วย  ดังนั้น  ในการรักษาถ้าเป็นในเรื่องของตัวไวรัสหรือเป็นตัวแบคทีเรียที่ไม่ได้ทำลายเชื้อลำไส้จะสามารถหายเป็นปกติได้เอง  อาจจะไม่ต้องใช้ยาใดๆ  หรือใช้สารน้ำทดแทนการเสียน้ำก็เพียงพอ  แต่สำหรับอาการท้องเสียชนิดที่มีถ่ายเหลวเป็นมูกเลือดร่วมกับการมีไข้สูง อาจจะมีความจำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ  และได้รับการดูแลรักษาที่ต้องมีความต่อเนื่อง  โดยการไปพบแพทย์หรือเข้ารักษาตัวที่โรงพยาบาลเพื่อความปลอดภัย  ซึ่งอาการท้องเสียในเด็กการไปโรงพยาบาลจะมีประโยชน์มากกว่า หรือประชาชนที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง ประชาชนที่มีการถ่ายเหลวเยอะมาก  เกินวันละ 8  ครั้ง  ควรที่จะต้องประเมินสภาวะการขาดน้ำและรีบไปพบแพทย์ ไม่แนะนำให้ซื้อยามารับประทานเอง”

โรคอุจจาระร่วง  ที่เกิดจากเชื้อไวรัส ไม่มียารักษาใช่หรือไม่

     “ก่อนอื่นต้องขอแจ้งไว้ก่อนเลยว่า  อาการอุจจาระร่วงหรือท้องเสียมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์  สามารถหายได้เองได้เพียงไม่กี่วันหรือไม่เกิน 1 สัปดาห์  เพราะฉะนั้นก็เลยทำให้การรักษาส่วนใหญ่จะไม่ต้องทำการรักษาแบบจำเพาะเจาะจง ซึ่งถ้ามองในการรักษาจะมุ่งไปที่การรักษาโดยการไม่ให้มีการขาดน้ำไม่ให้อาการรุนแรง  โดยที่ยาที่จะมาฆ่าเชื้อไวรัสนั้นไม่มีก็เป็นเรื่องถูกต้อง  แต่ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันไม่ได้มีความรุนแรงขนาดนั้นหากได้รับการรักษาที่ถูกต้อง   แต่อย่างไรก็ตาม  ก็จะมีวัคซีนที่ใช้ในการป้องกันคนที่ควรได้รับก็จะเป็นในกลุ่มของเด็กเล็ก  เพราะตัวไวรัสที่กำลังออกข่าวกันอยู่ขณะนี้คือโรต้าไวรัส จะเจอในเด็กอายุต่ำกว่า 5 ปีเป็นหลัก ในผู้ใหญ่มักจะไม่ค่อยเจอแล้วอาจจะเจอไวรัสอีกตัวหนึ่งแต่ความรุนแรงน้อยกว่า”

ประชาชนมาปรึกษาเรื่องโรคอุจจาระร่วงมากน้อยเพียงใด

     “จากประสบการณ์  ก็จะมีผู้มาที่ร้านยาอยู่แล้ว แต่ในกรณีผู้ที่มาร้านยาได้แบบนี้อาการก็จะไม่รุนแรงอยู่แล้ว ก็จะเน้นในการให้ความรู้และในเรื่องของการใช้ยาจะเป็นการประเมินเป็นรายบุคคล”

เกลือแร่ ORS กับเกลือแร่ของนักกีฬา  สามารถนำมาทดแทนกันได้หรือไม่  อย่างไร

     “ถ้าในเรื่องของการทดแทนสารน้ำ ตัว ORS ย่อมาจาก Oral Rehydration Salts นั่นก็คือเกลือแร่ทดแทนสารน้ำ  ซึ่งตรงนี้จะมีการถูกปรับความเข้มข้นมาให้ความพอดีกับอาหารท้องเสีย  แต่ถ้าหากไปใช้ในเรื่องของเกลือแร่สำหรับนักกีฬาพวกนี้จะมีเรื่องของน้ำตาลที่เยอะมีความเข้มข้นสูงมันก็จะทำให้ในเรื่องของการถ่ายจะมีมากขึ้นจากเดิมได้ ดังนั้น ORS กับ เกลือแร่สำหรับนักกีฬาไม่สามารถนำมาทดแทนกันได้

     จริงๆ  ในเรื่องของอาการท้องเสียไม่แนะนำให้เรียกหายา  หรือซื้อยามารับประทานเอง  หรือการซื้อยาติดบ้านไว้  ซึ่งอาการท้องเสียนั้นมีอยู่หลายแบบ  ซึ่งการดูแลรักษาในแต่ละแบบก็จะมีความแตกต่างกันออกไป  ในแต่ละคนก็จะมีการใช้ยาแตกต่างกันออกไป  ดังนั้น  ก่อนใช้ยาทุกครั้งควรปรึกษาแพทย์หรือเภสัชกร  รวมถึงการป้องกันเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ  ในเมื่ออาการท้องเสียสามารถหายได้เอง  การรักษาไม่จำเพาะเจาะจง  ดังนั้น  เราต้องป้องกันไม่ให้มันเกิดด้วยการใช้หลักของการกินร้อน  ใช้ช้อนกลาง
และหมั่นล้างมือ

     นอกจากข้อมูลข้างต้นแล้ว  ยังมีข้อมูลตัวเลขผู้ป่วยนับตั้งแต่วันที่  1 มกราคม 2560 ถึงวันที่  31 ธันวาคม 2560 ทางสำนักงานป้องกันควบคุมโรคที่ 2 จังหวัดพิษณุโลก  ได้รับรายงานผู้ป่วยโรค Diarrhoea หรือโรคอุจจาระร่วง  จำนวนทั้งสิ้น 49,829 ราย  ยังไม่มีรายงานผู้ป่วยเสียชีวิต พบผู้ป่วยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย  โดยพบเพศหญิง 28,185  ราย  เพศชาย 21,644  ราย กลุ่มอายุที่พบสูงสุดคือกลุ่มอายุ 0 – 4  ปี  รองลงมาคือ กลุ่มอายุ  65  ปี ขึ้นไป สัดส่วนอาชีพที่พบผู้ป่วยสูงสุดคือเด็กในปกครอง  ร้อยละ  36.84  รองลงมาคือ อาชีพเกษตรร้อยละ 21.19  อาชีพนักเรียน 17.67

     สำหรับข้อมูลการพบผู้ป่วยสูงสุด  จะพบในเดือน มีนาคม จำนวนผู้ป่วย 5,427 ราย  ซึ่งจังหวัดที่มีอัตราป่วยต่อประชากรแสนคนสูงสุดคือจังหวัดตาก  รองลงมาคือ  จังหวัดพิษณุโลก, จังหวัดเพชรบูรณ์,  จังหวัดอุตรดิตถ์, จังหวัดสุโขทัย ตามลำดับ

————————————————–

ขอขอบคุณผู้ให้สัมภาษณ์ :
เภสัชกรกฤษฏิ์ วัฒนธรรม เภสัชกรประจำสถานปฏิบัติการเภสัชกรรมชุมชน
คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร

 

Loading

แชร์รายการนี้
fb-share-icon