ทีมข่าวสถานีวิทยุกระจายเสียงมหาวิทยาลัยนเรศวร มน. F.M. 107.25 MHz “วิทยุเพื่อการศึกษาสร้างปัญญาสู่มวลชน” ได้ขอความรู้จากผู้ช่วยศาสตราจารย์ ร้อยโทหญิง ดร.สายศิริ มีระเสน อาจารย์ประจำภาควิชาชีวเคมี คณะวิทยาศาสตร์การแพทย์ มหาวิทยาลัยนเรศวร เกี่ยวกับเรื่องของชุดตรวจต่าง ๆ ที่ใช้ในช่วงสถานการณ์โควิด 19 นั้น มีชุดตรวจอะไรบ้าง และตอนนี้ประชาชนมีความกังวลใจว่า บางคนไม่มีอาการ แต่สามารถแพร่เชื้อได้นั้น จากความกังวลใจดังกล่าว มีชุดตรวจประเภทใดสามารถช่วยตรวจคัดกรองได้บ้าง, มีวิธีปฏิบัติ หรือกระบวนการคัดกรอง จะมีการเจาะเข้าสู่ร่างกาย, ป้าย หรือไม่ อย่างไร, ระยะเวลาการรอผลนานเพียงใด, ความแม่นยำมีมากน้อยเพียงใด ไม่รอช้ามาติดตามกันเลย
คำถาม : ให้อาจารย์เล่าถึงว่า ที่มาของการได้มาซึ่งชุดตรวจต่าง ๆ มีกระบวนการในการพัฒนาชุดตรวจอย่างไร
“การผลิตชุดตรวจนั้นมีที่มาจากการตรวจวินิจฉัยโรค พัฒนาขึ้นเพื่อเป็นเครื่องมือช่วยเหลือแพทย์ในการตรวจวินิจฉัยโรค มีวัตถุประสงค์ คือ
1) เพื่อคัดกรองผู้ที่ไม่ติดเชื้อ หรือผู้ที่ไม่เป็นโรคออกจากผู้ติดเชื้อ หรือผู้เป็นโรค
2) เพื่อคัดแยกโรค
3) เพื่อจำแนกชนิด หรือสายพันธุ์ของโรค ในผู้ติดเชื้อ พาหะ และผู้ป่วย
สำหรับขั้นตอนการพัฒนาชุดตรวจนั้น ขั้นตอนแรก คือ ต้องผ่านการพิจารณาจากคณะกรรมการจริยธรรมการวิจัยในมนุษย์ ต้องมีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับโครงสร้าง รูปร่าง ลักษณะทางพันธุกรรม กลไกของโรค หรือเชื้อชนิดนั้น ๆ ระบบภูมิคุ้มกันเมื่อเชื้อเข้าสู่ร่างกาย เพื่อเลือกเทคนิคและเทคโนโลยีที่มีความจำเพาะเหมาะสมมาใช้ในการตรวจหาในระดับห้องปฏิบัติการ
เมื่อได้เทคนิคที่มีความไวความแม่นยำแล้ว จึงพัฒนาเป็นชุดตรวจที่สามารถทำได้ในระดับภาคสนาม และทดสอบความไว ความแม่นยำ ไม่เกิดผลลบลวง และต้องได้รับการรับรองมาตรฐานจากกรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ และสำนักงานกรรมการอาหารและยา (อย.) ก่อนนำออกมาใช้ตรวจจริง ซึ่งแต่ละขั้นตอนต้องใช้เวลาและงบประมาณในการทำงานวิจัยที่สูงมาก”
คำถาม : ให้อาจารย์เล่าถึงว่า ปัจจุบันมีชุดตรวจต่าง ๆ ที่ใช้ในการคัดกรองโควิด 19 ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศ กี่ประเภท อะไรบ้าง, แต่ละประเภทนำไปใช้ในกรณีใดบ้าง
“(ข้อมูล ณ วันที่ 13 เมษายน 2563) ในปัจจุบันมีชุดตรวจที่ใช้ในการคัดกรองเชื้อโควิด-19 ทั้งในประเทศไทยและต่างประเทศอยู่ 3 ชนิด ได้แก่
1) การตรวจหาเชื้อไวรัสโควิด-19 โดยตรงด้วยวิธี RT-PCR เป็นวิธีหลักของการตรวจหาเชื้อไวรัส โควิด-19 ที่ใช้อยู่ในประเทศไทย โดยการตรวจหาสารพันธุกรรมของไวรัส และเป็นการตรวจที่องค์การอนามัยโรคแนะนำ เพราะมีความไว และความจำเพาะสูง สามารถตรวจหาเชื้อได้ในปริมาณน้อย ๆ รู้ผลได้ภายในเวลา 3-5 ชั่วโมง ทำให้สามารถคัดแยกผู้ป่วยได้ตั้งแต่ระยะแรกที่มีการติดเชื้อเพื่อให้การรักษาได้รวดเร็ว และยังใช้ในการติดตามผลการรักษาได้
2) การตรวจหาภูมิคุ้มกัน หรือ Rapid test เป็นการตรวจหาแอนติบอดีในเลือดของผู้ที่ติดเชื้อไวรัส โควิด-19 ใช้เวลาตรวจประมาณ 5-15 นาที จึงเป็นที่มาของชื่อ Rapid test แต่วิธีนี้จะสามารถตรวจพบได้เมื่อมีการติดเชื้อมาเป็นระยะเวลาประมาณ 5-10 วันขึ้นไป ซึ่งเป็นระยะฟักตัว ในกรณีเพิ่งได้รับเชื้อเข้าไปในร่างกายจะไม่สามารถตรวจหาได้ หากเป็นกลุ่มเสี่ยงมาตรวจด้วยวิธีนี้แล้วไม่พบ จึงควรไล่ไทม์ไลน์พร้อมนับวัน และทิ้งช่วงแล้วกลับมาตรวจซ้ำ
3) การตรวจหาแอนติเจน หรือ RT-LAMP เป็นการตรวจหาแอนติเจน หรือโปรตีนของเชื้อไวรัส
โควิด–19 ที่เข้าสู่ร่างกาย สามารถนำไปใช้ในการตรวจคัดกรองหาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิท–19 ได้อย่างรวดเร็วแต่ความแม่นยำไม่เท่ากับวิธีแรก
หมายเหตุ : แอนติเจน (antigen) เป็นโปรตีนแปลกปลอมที่เมื่อเข้าสู่ร่างกายจะกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันในร่างกายให้ตอบสนองต่อโปรตีนแปลกปลอมนี้ โดยการสร้างแอนติบอดีเพื่อใช้ในการกำจัดแอนติเจนนั้น
ส่วนแอนติบอดี (antibody) คือ โปรตีนที่ระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายสร้างขึ้นเพื่อกำจัด ทำลาย สิ่งแปลกปลอม (แอนติเจน) ที่เข้าสู่ร่างกาย”
คำถาม : เนื่องจากประชาชนมีความกังวลใจว่า บางคนไม่มีอาการแต่สามารถแพร่เชื้อได้นั้น จากความกังวลใจดังกล่าว มีชุดตรวจประเภทใดสามารถช่วยตรวจคัดกรองได้บ้าง, มีวิธีปฏิบัติ หรือกระบวนการคัดกรอง จะมีการเจาะเข้าสู่ร่างกาย, ป้าย หรือไม่ อย่างไร, ระยะเวลาการรอผลนานเพียงใด, ความแม่นยำมีมากน้อยเพียงใด
“เมื่อได้รับเชื้อไวรัสโควิด-19 เข้าสู่ร่างกาย จะยังไม่มีอาการแสดง เพราะเชื้อจะต้องใช้ระยะฟักตัวประมาณ 14 วันจึงจะเริ่มแสดงอาการ ซึ่งในผู้ป่วยบางคนก็ไม่แสดงอาการ ทำให้ขาดการป้องกันตัวเองและอาจแพร่เชื้อไปสู่ผู้อื่นได้ ชุดตรวจที่สามารถตรวจคัดกรองได้ก็คือการตรวจหาสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัส
โควิด-19 โดยตรง
วิธีการเก็บสิ่งส่งตรวจ แพทย์จะเก็บเยื่อบุในคอโดยการป้ายคอ (throat swab) เนื้อเยื่อหลังโพรงจมูก (Nasopharyngeal swab) ซึ่งเป็นบริเวณทางเดินหายใจส่วนบนและส่วนล่าง โดยใช้ไม้พันสำลีที่ปราศจากเชื้อแหย่เข้าไปในโพรงจมูก หากพบว่าเชื้อลงปอดแล้ว จะส่องกล้องเพื่อดูดเสมหะในปอดออกมา ซึ่งในระหว่างการเก็บสิ่งส่งตรวจอาจทำให้เกิดการไอ จามซึ่งทำให้เชื้อกระจายไปทั่ว ฉะนั้น ผู้เก็บจะต้องสวมชุดป้องกัน PPE และสวมหน้ากาก N95 ทุกครั้ง
จากนั้นจะนำสิ่งส่งตรวจมาสกัดสารพันธุกรรมและตรวจหาสารพันธุกรรมด้วยเทคนิค RT-PCR ซึ่งใช้เวลาในการตรวจประมาณ 3-5 ชั่วโมง วิธีนี้สามารถแปลผลการตรวจได้อย่างแม่นยำ ทำให้แพทย์สามารถให้การรักษาได้ทันเวลา”
คำถาม : ปัจจุบันประเทศไทยจะมีการตรวจคัดกรองด้วยชุดตรวจใด, ชุดตรวจดังกล่าวสามารถหาซื้อมาใช้เองได้หรือไม่ อย่างไร
“ปัจจุบันประเทศไทยใช้การตรวจหารสารพันธุกรรมของเชื้อไวรัสโควิด–19 โดยตรงด้วยวิธี RT-PCR ซึ่งเป็นวิธีตรวจมาตรฐานที่องค์การอนามัยโรคแนะนำ รวมทั้งชุดตรวจ Rapid test โดยขั้นตอนการเก็บสิ่ง ส่งตรวจ การตรวจวิเคราะห์ และการแปลผลต้องทำโดยผู้เชี่ยวชาญ จึงไม่แนะนำให้ซื้อชุดตรวจมาใช้ตรวจด้วยตนเอง เพราะหากเก็บสิ่งส่งตรวจไม่ถูกวิธี หรือทำการตรวจโดยไม่สัมพันธ์กับอาการและระยะเวลาของโรค หรือแปลผลโดยขาดความชำนาญจะทำให้แปลผลผิด และอาจทำให้เกิดการแพร่กระจายของเชื้อเพิ่มมากขึ้น”
คำถาม : ทราบมาเบื้องต้นว่า ท่านอาจารย์กำลังศึกษาการพัฒนาชุดตรวจ รบกวนเล่าสู่กันฟังว่าการศึกษาดังกล่าวเป็นอย่างไร, ดำเนินงานถึงขั้นตอนใด, ข้อค้นพบที่น่าสนใจ
“อาจารย์กำลังพัฒนาชุดตรวจโรคเบตาธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงที่พบมากในประเทศไทย ซึ่งได้รับ
การสนับสนุนงบประมาณการทำวิจัยจากสำนักงานการวิจัยแห่งชาติ (วช.) กระทรวงอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) เพื่อนำไปใช้ตรวจคัดกรองหาคู่เสี่ยงที่มีลูกเป็นโรคเบตาธาลัสซีเมียชนิดรุนแรงในภาคสนาม และในระดับโรงพยาบาลปฐมภูมิ
ขณะนี้มีเทคนิคที่สามารถตรวจการกลายพันธุ์ของยีนเบตาธาลัสซีเมียที่พบมากในประเทศไทย และกำลังพัฒนาเป็นชุดตรวจที่สามารถตรวจได้โดยไม่ต้องใช้เครื่องมือที่ซับซ้อน มีราคาสูง มีความไวและแม่นยำสามารถตรวจได้ภายในเวลาเพียง 30 นาที”
คำถาม : ให้ท่านอาจารย์ กล่าวฝากถึงผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในช่วงสถานการณ์ระบาดของ โควิด 19
เป็นการทิ้งท้าย
“ขอให้กำลังใจแก่บุคลากรทางการแพทย์ทุก ๆ ท่านที่ทำงานหนักเพื่อพวกเรา ขอให้ทุกท่านระมัดระวังและป้องกันตัวเองโดยสวมหน้ากากอนามัยทุกครั้งที่ออกนอกบ้าน หากไปในพื้นที่ ๆ ที่มีคนมาก เมื่อกลับเข้าบ้านอย่าลืมล้างมือฟอกสบู่ อาบน้ำสระผมทันที “อยู่บ้าน หยุดเชื้อ เพื่อชาติ” แล้วพวกเราจะผ่านวิกฤตินี้ไปด้วยกันนะคะ”