สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน นับวันยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มอัตราภาษีศุลกากร การประกาศยุติการดำเนินธุรกิจกับ Huawei ของ Google ตามคำสั่งของรัฐบาลสหรัฐอเมริกา ซึ่งจะทำให้ สมาร์ทโฟนรุ่นที่จะออกมาใหม่ของ Huawei ไม่สามารถใช้บริการ Google Services ได้ ไม่เพียงเท่านั้น Huawei จะยังไม่สามารถซื้อชิ้นส่วน อาทิ ชิปเซ็ต แผงวงจร เป็นต้น จากบริษัทของอเมริกันเพื่อไปผลิตสมาร์ทโฟนรุ่นใหม่ ถึงแม้ล่าสุดจะมีคำสั่งจากกระทรวงพาณิชย์ของสหรัฐอเมริกาได้ยืดเวลาผ่อนผันให้ Huawei อีก 90 วัน ที่จะสามารถซื้อสินค้าจากบริษัทในอเมริกาได้ แต่เพื่อนำไปใช้ในการดูแลรักษาระบบเครือข่าย และการอัพเดทสมาร์ทโฟนเท่านั้น ในส่วนของประเทศไทยเอง จะได้รับผลกระทบใดบ้างกับสงครามการค้าครั้งนี้ รวมไปถึงมีอะไรที่เราต้องจับตาดูอย่างใกล้ชิด
ดร.ภัคจิรา นักบรรเลง อาจารย์ภาควิชาเศรษฐศาสตร์ คณะบริหารธุรกิจ เศรษฐศาสตร์ และการสื่อสาร มหาวิทยาลัยนเรศวร ได้ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า อาจจะไม่ใช่เพียงประเทศไทยที่ต้องจับตา หลายๆประเทศต้องจับตามองเช่นกัน เพราะว่าจีนและสหรัฐอเมริกา ถือว่าเป็นเศรษฐกิจขนาดใหญ่มาก ถ้ามีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับเศรษฐกิจในประเทศใดประเทศหนึ่ง มันส่งผลการเปลี่ยนแปลงของเศรษฐกิจโลกทั้งหมดจะว่าอย่างนั้นก็ได้ สำหรับประเทศไทยเอง ถ้าจะต้องจับตามองจริงๆ จะเน้นไปทางภาคการส่งออก ซึ่งเศรษฐกิจของประเทศไทยพึ่งพาภาคการส่งออกค่อนข้างที่จะเยอะพอสมควร ถ้าไปดู GDP ของเราหรือผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ จะเห็นได้ว่ามันไปโปร่งในภาคการส่งออกพอสมควร ส่วนสินค้าส่งออกที่ต้องจับตามอง อาจจะไม่ใช่แค่สินค้าเกษตรกรรมอย่างเดียว จะเป็นสินค้าเกี่ยวกับเรื่องอิเล็กทรอนิกส์ด้วย
สุดท้ายแล้ว ถ้าสองประเทศนี้ไม่จับมือกันหรือไม่ให้ความร่วมมือกันแล้ว สหรัฐก็ต้องเริ่มหาคู่ค้ารายใหม่ ในสินค้าที่นำเข้าจากจีน แล้วใครจะเป็น Candidate ที่น่าจับตามอง ต้องมาดูกันว่าประเทศไทยจะได้รับโอกาสนั้นหรือไม่ หรืออาจจะได้ผลกระทบเรื่องการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้า แต่ถ้าดูค่าเงินบาทเมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐ ตอนนี้เงินบาทเราแข็งตัวก็ทำในราคาสินค้าส่งออกของเราจะดูแพงขึ้นในสายตาของสหรัฐอเมริกา อาจจะมีความรู้สึกว่าเราเสียเปรียบนิดนึงถ้าเทียบกับจีน แต่ยังไงก็ตามก็ต้องจับตาดูกันไปว่าสุดท้ายแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศนี้ออกมาจะเป็นอย่างไร แล้วตั้งรับมือไว้ให้ดี
ธิติ สิงห์คง: สัมภาษณ์/เรียบเรียง
21-05-62
